เกิดอะไรขึ้น เรือสินค้าชนสะพานพังถล่ม เมืองบัลติมอร์จ่อกระทบหนัก
เมื่อช่วงเช้ามืดตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเรือสินค้าขนาดใหญ่พุ่งชนเสาตอม่อสะพานแขวนความยาวอันดับที่ 3 ของโลก จนพังถล่มลงมาทั้งสาย สร้างความตกตะลึงให้แก่ชาวเมืองซึ่งต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าสะพานที่อยู่กับพวกเขามาหลายสิบปีหายไปแล้ว
จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาจนถึงตอนนี้ สาเหตุที่เรือสินค้าพุ่งชนตอม่อสะพานเป็นเพราะเรือเกิดปัญหาด้านพลังงาน จนเสียการควบคุม ด้านสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช้การก่อการร้าย
ขณะเดียวกัน หน่วยกู้ภัยกับเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานก็กำลังช่วยกันตามหาผู้สูญหายหลังสะพานถล่ม ซึ่งตอนนี้เชื่อว่ามี 6 คน หลังก่อนหน้านี้ช่วยเอาไว้ได้แล้ว 2 คน ท่ามกลางเสียงเตือนของผู้เชี่ยวชาญ ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเมืองท่าขนาดใหญ่บนชายฝั่งตะวันออกที่ต้องดูแลสินค้าปีละหลายสิบล้านตันแห่งนี้
การจราจร-ขนส่ง กระทบหนัก
ในขณะที่การช่วยเหลือผู้สูญหายยังคงดำเนินต่อไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาเตือนว่า อุบัติเหตุครั้งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเมืองบัลติมอร์ เนื่องจากซากสะพานทำให้การเดินเรือต้องหยุดลงอย่างไม่มีกำหนด
เมืองท่าบัลติมอร์มีความสำคัญมากในฐานะท่าเรือบนชายฝั่งตะวันออกที่ใกล้ภูมิภาคมิดเวสต์มากที่สุด ทำให้มันกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าประเภทรถยนต์, ตู้คอนเทนเนอร์ และสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ และเป็นอันดับ 1 ท่าเรือสหรัฐฯ ที่มียานพาหนะถูกขนส่งผ่านมากที่สุด โดยเมื่อปีก่อนมีรถยนต์ถูกขนส่งผ่านท่าเรือแห่งนี้ถึง 850,000 คัน
การพังถล่มของสะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ จะกระทบต่อการขนส่งทั้งตอนบนและตอนล่างของชายฝั่งตะวันออก เพราะเดิมทีในแต่ละวันจะมีรถใช้งานสะพานแห่งนี้ราว 30,000-35,000 คัน แต่ตอนนี้รถที่จะข้ามแม่น้ำปาแทปส์โก จะต้องไปลอดอุโมงค์ใต้น้ำ 2 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์บัลติมอร์ ฮาร์เบอร์ (Baltimore Harbor) และอุโมงค์ฟอร์ท แมกเฮนรี (Fort McHenry) ที่อยู่ห่างออกไปแทน ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้การจราจรล่าช้า นอกจากนั้นวัตถุอันตรายยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลอดผ่านอุโมงค์ ทำให้ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางที่ไกลขึ้นอีก
ขณะที่การเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือ ฟิลาเดลเฟีย, นอร์ฟอล์ค หรือท่าเรือนิวยอร์ก และนิวเจอร์ซี อาจดันค่าใช้จ่ายของการขนส่งด้วยรถบรรทุกและรถไฟให้เพิ่มขึ้น หากจำนวนสินค้ามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจทำให้เกิดความแออัดขึ้นที่ท่าเรือทางเลือกอื่นๆ นำไปสู่ความล่าช้า และทำให้ค่าระวางขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม นายมาร์ก ซานดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบัน ‘มูดีส์ อนาลีติกส์’ กล่าวว่า แม้จะเกิดการติดขัดในห่วงโซ่อุปทานที่บัลติมอร์ แต่ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภาพรวม เนื่องจากยังมีท่าเรือให้เลือกส่งสินค้าอีกมาก
หนึ่งในปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินว่าผลกระทบจะมากหรือน้อย คือระยะวลาที่ท่าเรือต้องปิดทำการ โดยนายมัวร์ยอมรับว่าเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า ท่าเรือบัลติมอร์จะกลับมาเปิดได้เมื่อไร ส่วนประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อสร้างสะพานใหม่ และทำให้ท่าเรือกลับมาเปิดโดยเร็วที่สุด แต่เขาก็ไม่กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
ความสำคัญของบัลติมอร์
นายมัวร์ยอมรับว่าการสร้างสะพานเส้นใหม่เป็นการก่อสร้างระยะยาวที่อาจใช้เวลานานหลายปี แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเก็บกวาดซากปรักหักพังออกจากแม่น้ำ เพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือมาสู่เมืองท่าอันแสนสำคัญของสหรัฐฯ แห่งนี้
ในภาพรวม บัลติมอร์ เป็นท่าเรือที่รับและส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 9 ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2566 เมืองแห่งนี้ต้องรับมือสินค้าน้ำหนักรวมถึง 52.3 ล้านตัน มูลค่ากว่า 8.08 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างงานโดยตรงถึง 15,330 คน และงานจากบริการที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 139,180 ตำแหน่ง
บัลติมอร์ ยังเป็นท่าเรือลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ ในการขนส่งเครื่องจักรก่อสร้าง และการเกษตร รวมถึงรับสินค้านำเข้าประเภทน้ำตาล และยิปซัม นอกจากนั้นยังเป็นท่าเรือที่มีถ่านหินถูกส่งออกไปถึง 20 ล้านตันต่อปี มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศด้วย
หนึ่งในผู้ผลิตรายสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวบัลติมอร์คือ โรงงานทำน้ำตาล ‘โดมิโน ชูการ์’ ผู้ผลิตน้ำตาลจากอ้อยรายใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก ซึ่งดำเนินธุรกิจมานานกว่า 115 ปี และโรงงานแห่งนี้มีน้ำตาลดิบมากมายส่งผ่านทางเรือ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาลประเภทต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่แน่ชัดแล้วว่าพวกเขาจะมีแผนอย่างไร เมื่อการนำเข้าผ่านท่าเรือบัลติมอร์ต้องหยุดชะงักลง
บัลติมอร์ ยังเป็นท่าเทียบเรือให้แก่เรือสำราญของบริษัทดังอย่าง ‘รอยัล แคริบเบียน’, ‘คาร์นิวัล’ และ ‘นอร์วิเจียน’ โดยเมื่อปีก่อนมีผู้โดยสารเดินทางออกจากท่าเรือแห่งนี้มากกว่า 444,000 คน
แต่นักวิเคราะห์อย่างนายซานดียังมองโลกในแง่ดีว่า แม้การพังถล่มของสะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ จะสร้างเรื่องน่าปวดหัวมากมายให้แก่บัลติมอร์ และทำให้เกิดความสูญเสียทางธุรกิจที่ท่าเรือ แต่มันจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และเม็ดเงินที่จะถูกใช้เพื่อสร้างสะพานแห่งใหม่จะกลายเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ก็ตาม.